ในการจะทำงานอะไรซักอย่าง
เราควรคิดถึงอะไรก่อน?
หัวข้อ? งานจบ?
สำหรับแอนแล้ว แอนมักคิดถึง 2 สิ่งนี้ก่อน
- หัวข้อ คือ เรื่องที่สนใจ แล้วสามารถตอบโจทย์ที่ตั้งไว้ได้
- งานจบ คือ สิ่งที่คิดไว้คร่าวๆ และขอบเขตที่สามารถทำได้
แล้ว 'กระบวนการ' ล่ะ มาจากไหน?
แอนให้คำตอบว่ามันคือ ตรงกลางระหว่างหัวข้อกับงานจบ
เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าเราจะศึกษาเรื่องอะไร
กระบวนการศึกษาก็คงไม่เกิด
และถ้าเราไม่กำหนดขอบเขตของงานจบแล้ว
กระบวนการศึกษาก็คงกระจายเป็นวงกว้าง ไม่รู้จบ
กระบวนการมีความสำคัญอย่างไรสำหรับนักออกแบบ?
แอนให้คำตอบว่า มันทำให้เราสามารถยืนยันข้อมูลที่ถูกต้อง
ทำให้เรารู้จักจัดการงานเป็นส่วนๆ และแยกแยะเวลาทำงานได้
มันเป็นสิ่งที่ดี แต่น้อยคนนักที่จะจัดการกับ 'กระบวนการ'
ทั้งๆที่มันเป็นสิ่งจำเป็นแท้ๆ
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ถึงเวลา...ก็ตาย...
เรื่องมีอยู่ว่า...
พ่อของเพื่อนของรุ่นพี่ที่รู้จักกันเสียชีวิต
การเสียชีวิตถือเป็นลิขิตจากฟ้า
แล้วเรื่องนี้มันแปลกตรงไหน?
เรื่องมีอยู่ว่า...
รถของคุณพ่อเสียบนทางด่วนจึงจอดอยู่ข้างทาง
คุณพ่อก็ออกมายืนรอนอกรถเพื่อรอรถลาก
แต่ระหว่างนั้นเอง...
มีรถ 2 คันขับมาด้วยความเร็วสูง
คันที่ 1 เสียหลักชนคันที่ 2
เคราะห์ร้ายที่ทั้ง 2 คันนั้นเสียหลักพุ่งเข้าชนคุณพ่อ...
นี่ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัว
ในใจก็อดคิดไม่ได้ ว่าพื้นที่บนทางด่วนมีตั้งเยอะแยะ
แล้วเหตุใดรถ 2 คันถึงได้เสียหลักเข้าชนคุณพ่อที่ตรงนั้น
หรือนี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า "ถึงฆาต" !?
พ่อของเพื่อนของรุ่นพี่ที่รู้จักกันเสียชีวิต
การเสียชีวิตถือเป็นลิขิตจากฟ้า
แล้วเรื่องนี้มันแปลกตรงไหน?
เรื่องมีอยู่ว่า...
รถของคุณพ่อเสียบนทางด่วนจึงจอดอยู่ข้างทาง
คุณพ่อก็ออกมายืนรอนอกรถเพื่อรอรถลาก
แต่ระหว่างนั้นเอง...
มีรถ 2 คันขับมาด้วยความเร็วสูง
คันที่ 1 เสียหลักชนคันที่ 2
เคราะห์ร้ายที่ทั้ง 2 คันนั้นเสียหลักพุ่งเข้าชนคุณพ่อ...
นี่ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัว
ในใจก็อดคิดไม่ได้ ว่าพื้นที่บนทางด่วนมีตั้งเยอะแยะ
แล้วเหตุใดรถ 2 คันถึงได้เสียหลักเข้าชนคุณพ่อที่ตรงนั้น
หรือนี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า "ถึงฆาต" !?
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552
พ่อกับแม่
วันนี้ตอนนอนดูทีวีกับป๊าม๊า ก็คิดไปพลางว่า...
เวลาแบบนี้จะอยู่ได้อีกยาวนานแค่ไหนกัน
ช่วงเวลาที่แอน ป๊า ม๊า และน้องๆจะได้อยู่ด้วยกัน
พระเจ้าจะให้เวลาอีกสักกี่ปีกัน?
แอนไม่เคยกลัวเรื่องความตายมาก่อนเลย
จนกระทั่งอาม่าแอนเสียไปเมื่อปีที่แล้ว
น้ำตาที่ไหลมาบ่งบอกได้ถึงความเสียใจ
ความเหงาบ่งบอกได้ถึงความคิดถึง
จนแอนอดคิดไม่ได้ว่า...
หากวันใดที่ป๊าม๊าแอนจากไป ตัวแอนจะรับได้มากน้อยแค่ไหน?
แม่มักพูดเสมอ...ว่าพ่อกับแม่มีแต่จะแก่เฒ่าไปตามอายุ
จะให้อยู่เลี้ยงดูลูกตลอดไปก็เป็นไปไม่ได้
ใช่...ตัวเราเองก็เข้าใจในความหมายนั้นดี
แต่ก็ยังคงกลัวการพรากจากนั้นอยู่ดี...
เวลาแบบนี้จะอยู่ได้อีกยาวนานแค่ไหนกัน
ช่วงเวลาที่แอน ป๊า ม๊า และน้องๆจะได้อยู่ด้วยกัน
พระเจ้าจะให้เวลาอีกสักกี่ปีกัน?
แอนไม่เคยกลัวเรื่องความตายมาก่อนเลย
จนกระทั่งอาม่าแอนเสียไปเมื่อปีที่แล้ว
น้ำตาที่ไหลมาบ่งบอกได้ถึงความเสียใจ
ความเหงาบ่งบอกได้ถึงความคิดถึง
จนแอนอดคิดไม่ได้ว่า...
หากวันใดที่ป๊าม๊าแอนจากไป ตัวแอนจะรับได้มากน้อยแค่ไหน?
แม่มักพูดเสมอ...ว่าพ่อกับแม่มีแต่จะแก่เฒ่าไปตามอายุ
จะให้อยู่เลี้ยงดูลูกตลอดไปก็เป็นไปไม่ได้
ใช่...ตัวเราเองก็เข้าใจในความหมายนั้นดี
แต่ก็ยังคงกลัวการพรากจากนั้นอยู่ดี...
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Lucky Number#13
วันนี้ได้รับกระดาษให้เขียนชื่อโครงการ Thesis
ก็หยิบปากกาขึ้นมาเตรียมจะเขียน แต่ก็โดนเอมี่เบรกไว้เสียก่อน
เพราะแอนกำลังจะเขียนชื่อตัวเองลงในช่องเบอร์ 13
แปลกไหม...ว่าเพราะอะไรถึงต้องลังเล?
กับอีแค่เขียนชื่อตัวเองลงไปในช่องหมายเลข 13
ทั้งๆที่คนตั้งชื่อให้มันว่า Lucky Number
แต่เรากลับกลัวเลขนี้ และพยายามหลีกเลี่ยงมัน
เท่าที่แอนได้หาคำตอบกับตัวเอง
ก็สรุปได้ว่า...
มันอาจเป็นความเชื่อ และการเล่าต่อกันมาของตัวเลขนี้
ทำให้มันเกิดความฝังใจ และมีความหวาดกลัวต่อตัวเลขนั้น
ทั้งๆที่เราก็ไม่รู้เสียหน่อย ว่าตัวเลขนี้มันอาถรรพ์จริงแท้แค่ไหน
แม้ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่นะคะ
แล้วผลสุดท้าย...แอนก็เลือกเขียนชื่อตัวเองในช่องเบอร์อื่น
ที่ไม่ใช่หมายเลข "13"
ก็หยิบปากกาขึ้นมาเตรียมจะเขียน แต่ก็โดนเอมี่เบรกไว้เสียก่อน
เพราะแอนกำลังจะเขียนชื่อตัวเองลงในช่องเบอร์ 13
แปลกไหม...ว่าเพราะอะไรถึงต้องลังเล?
กับอีแค่เขียนชื่อตัวเองลงไปในช่องหมายเลข 13
ทั้งๆที่คนตั้งชื่อให้มันว่า Lucky Number
แต่เรากลับกลัวเลขนี้ และพยายามหลีกเลี่ยงมัน
เท่าที่แอนได้หาคำตอบกับตัวเอง
ก็สรุปได้ว่า...
มันอาจเป็นความเชื่อ และการเล่าต่อกันมาของตัวเลขนี้
ทำให้มันเกิดความฝังใจ และมีความหวาดกลัวต่อตัวเลขนั้น
ทั้งๆที่เราก็ไม่รู้เสียหน่อย ว่าตัวเลขนี้มันอาถรรพ์จริงแท้แค่ไหน
แม้ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่นะคะ
แล้วผลสุดท้าย...แอนก็เลือกเขียนชื่อตัวเองในช่องเบอร์อื่น
ที่ไม่ใช่หมายเลข "13"
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ทำไม?

หรือใช้ประโยค "คำถาม" กี่รอบ
หรือเป็นแค่ตัวแอนเองก็ไม่รู้ที่ชอบใช้คำว่า 'ทำไม'
มองอะไรๆก็สงสัยไปหมด...
ทำไมอากาศร้อนอย่างนี้?
ทำไมห้องเรียนหนาวจัง?
ทำไมยังไม่เลิกเรียนอีกนะ?
ทำไม..ทำไม..ทำไม...?
น่าแปลกที่คำถามพวกนี้แอนพูดออกมา แต่ไม่หวังอยากได้คำตอบ
เพราะคงไม่มีใครคอยตอบหรอกว่าทำไมอากาศร้อน ทำไมแอร์เย็น
มันเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ก็ยังอดพูดไม่ได้ ไม่เข้าใจตัวเองเลย
บางทีก็คิดว่าคนอื่นๆจะเป็นเหมือนเราบ้างไหมนะ
ที่ดันมาสะกิดใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้?
ว่าไปนั่น...สรุปแล้วมันอาจเป็นแค่ความเคยชินในชีวิตประจำวันก็ได้
วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552
เที่ยว at TCDC

วันนี้ไป TCDC เพื่อดูงานสำหรับเขียนรายงานวิชา Issue
และเพื่อหาความสร้างสรรค์เข้าหัวอันน้อยนิดของตัวเอง
ไปถึงก็ได้เจองานหลายๆงานทั้งที่น่าสนใจ และที่น่าแปลกใจในไอเดียของคนทำ
แต่ที่ชอบที่สุดในบรรดางานทั้งหมด คือ
งานเกี่ยวกับการตัดกระดาษที่มีรากฐานมาจากประเทศจีน
ซึ่งปัจจุบันวิธีการทำนี้เริ่มจางหายไปแล้ว
คนทำได้นำเอาวิธีการตัดกระดาษมาผนวกกับการออกแบบในคอมพิวเตอร์
ทำให้การขยายสัดส่วนและการลงสีง่ายขึ้น
แถมยังได้ลวดลายหลากหลายจากการพับ และตัดอีกด้วย
ซึ่งนี่ก็เป็นอีกวิธีที่เราสามารถทำได้ง่ายๆ
วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552
นอกรอบ #3 เจ้าปลาทอง

เคยสังเกตมั้ยว่าเวลาให้อาหารปลาทองทีไร มันก็จะกินๆๆ
มีคนเคยบอกไว้ว่า ปลาทอง น่ะ มันจำไม่ได้หรอกว่ามันกินอาหารไปเมื่อไหร่
เพราะฉะนั้นเวลาเราให้อาหารมันเวลาใด มันก็จะกินๆๆ
แล้วถ้าให้เยอะเกินไป ก็จะเหมือนชูชกที่ท้องแตกตาย
ดังนั้นคนเราจึงเอาศัพท์คำว่า "ปลาทอง" ไว้ใช้กับพวกคนที่ขี้ลืม
ซึ่งแอนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มีฉายาว่า "ปลาทอง"
ส่วนหนึ่งก็มีคนชื่นชม เพราะเวลาใครมาปรึกษาอะไร เขาก็จะสบายใจ
ว่า...ที่มันพูดๆปรึกษามา พอผ่านพ้นวันนั้นไป แอนก็ลืมแล้ว...
อันนี้ไม่รู้ว่าดีสำหรับมัน ที่แอนสามารถรักษาความลับไว้ได้
หรือดีสำหรับแอนกันแน่ ที่ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเรื่องของคนอื่น...
แต่ในทางกลับกัน แอนมักลืมของนู่นนี่นั่นเป็นประจำ
โดยเฉพาะเวลากลับบ้านทุกวันเสาร์ หรือ อาทิตย์
ไม่ลืมแว่นสายตา ก็ต้องลืมที่ชาร์ตแบตมือถือ หรือไม่ก็ลืมมันทั้งคู่
จนแม่บ่นประจำ ว่า "เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมขี้ลืมซะแล้ว แก่ไปจะทำยังไง?"
เออ...จริง...แก่ไปชั้นมิจำอะไรไม่ได้เลยรึไง คิดแล้วก็ปวดหมอง
ไหนมีโฆษณาบอกกินแบรนด์ซุบไก่แล้วจะฉลาด ความจำดี
ดื่มไปก็หลายขวด เม็ดยาก็อัดซะหลายเม็ด ก็ยังลืม!
หรือเพราะความขี้ลืมมันซึมเข้าสู่กระแสเลือดซะแล้วก็ไม่รู้ (เฮ้อ!)
ถึงแม้จะใช้โน้ตแปะกันลืมของก็แล้ว แต่ยังมิวายซวยซ้ำซวยซ้อน
ลืมอ่านโน้ตที่แปะไว้ !!
เห้อ...ชีวิตหนอชีวิต
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...การปลง ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้เราสบายใจ อาเมน!...
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552
คนเบื้องหลัง
เคยหยิบรูปถ่ายที่ถ่ายกับครอบครัว กับเพื่อนฝูงเมื่อครั้งอดีตมาดูบ้างไหม?
ในเดือนๆหนึ่งอย่างน้อยก็น่าจะซักครั้งสองครั้ง
เพราะบางทีเราอาจจะ 'ลืม' ติดต่อใครบางคนไป
อาจลืมติดต่อ 'พ่อ แม่' เพราะยังคงสนุกสนานอยู่กับเพื่อนๆ
อาจลืมติดต่อ 'เพื่อนเก่า' เพราะยังสนุกสนานอยู่กับเพื่อนใหม่
อาจลืมติดต่อ 'คุณครูที่เคยสอน' เพราะยังคงสนุกสนานอยู่กับมหาลัยใหม่
อย่างน้อยก็ควรติดต่อ "คนเบื้องหลัง" ของเราบ้าง
คนเหล่านั้นย่อมเป็นห่วง และคิดถึงเราอยู่เป็นแน่
...อย่าให้วันนี้ทำลายอดีตที่ผูกพันธ์ หมั่นสานสัมพันธ์วันคืนให้ดี...
ที่มา : หลังจากนั่งอ่านไดอารี่และสมุดเฟรนด์ชิฟตอนสมัยมัธยม
ในเดือนๆหนึ่งอย่างน้อยก็น่าจะซักครั้งสองครั้ง
เพราะบางทีเราอาจจะ 'ลืม' ติดต่อใครบางคนไป
อาจลืมติดต่อ 'พ่อ แม่' เพราะยังคงสนุกสนานอยู่กับเพื่อนๆ
อาจลืมติดต่อ 'เพื่อนเก่า' เพราะยังสนุกสนานอยู่กับเพื่อนใหม่
อาจลืมติดต่อ 'คุณครูที่เคยสอน' เพราะยังคงสนุกสนานอยู่กับมหาลัยใหม่
อย่างน้อยก็ควรติดต่อ "คนเบื้องหลัง" ของเราบ้าง
คนเหล่านั้นย่อมเป็นห่วง และคิดถึงเราอยู่เป็นแน่
...อย่าให้วันนี้ทำลายอดีตที่ผูกพันธ์ หมั่นสานสัมพันธ์วันคืนให้ดี...
ที่มา : หลังจากนั่งอ่านไดอารี่และสมุดเฟรนด์ชิฟตอนสมัยมัธยม
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552
แล้วเธอจะเสียใจที่ทิ้งฉันไป
เวลาเลิกรากับคนรัก ทุกคนย่อมทนอยู่กับความเศร้า
บางคนกินเหล้าเมาหยำเปจนหมาเรียกพี่
บางคนคิดสั้นฆ่าตัวตายแบบไม่เห็นหัวอกคนในครอบครัว
ความรักย่อมมีวันเลิกรา ไม่ว่าจะจบลงด้วยดี หรือ จบลงอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ
บางทีอาจตายจากกันไปอย่างไม่ทันตั้งตัว บางทีอาจตายจากเพราะอายุขัย
แต่วัยรุ่นสมัยนี้ยังมองเพียงมุมมองแคบๆ
บ้างคิดว่าเหล้าช่วยให้ลืม บ้างคิดว่าความตายสามารถจบทุกสิ่ง
เคยคิดบ้างไหม...ว่าที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลยทำให้เขาเลิกรัก...?
ปรับตัวเองเสียใหม่ดีกว่าไหม?
เปลี่ยนให้ดีพอจนเขาเสียดายที่ทิ้งเราไป!
ชีวิตคนเรายังมีอะไรอีกตั้งเยอะแยะ อย่าไปจบเพียงแค่ความรักที่ล้มเหลวเลย
ที่มา : หลังจากฟังเพื่อนโทรมาร้องห่มร้องไห้ว่า 'อกหัก' ทั้งชวนให้ไปกินเหล้าเป็นเพื่อน ทั้งพร่ำร้องว่าอยากตายจะได้ไม่ต้องมาทนเจ็บทนทุกข์อยู่อย่างนี้
บางคนกินเหล้าเมาหยำเปจนหมาเรียกพี่
บางคนคิดสั้นฆ่าตัวตายแบบไม่เห็นหัวอกคนในครอบครัว
ความรักย่อมมีวันเลิกรา ไม่ว่าจะจบลงด้วยดี หรือ จบลงอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ
บางทีอาจตายจากกันไปอย่างไม่ทันตั้งตัว บางทีอาจตายจากเพราะอายุขัย
แต่วัยรุ่นสมัยนี้ยังมองเพียงมุมมองแคบๆ
บ้างคิดว่าเหล้าช่วยให้ลืม บ้างคิดว่าความตายสามารถจบทุกสิ่ง
เคยคิดบ้างไหม...ว่าที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลยทำให้เขาเลิกรัก...?
ปรับตัวเองเสียใหม่ดีกว่าไหม?
เปลี่ยนให้ดีพอจนเขาเสียดายที่ทิ้งเราไป!
ชีวิตคนเรายังมีอะไรอีกตั้งเยอะแยะ อย่าไปจบเพียงแค่ความรักที่ล้มเหลวเลย
ที่มา : หลังจากฟังเพื่อนโทรมาร้องห่มร้องไห้ว่า 'อกหัก' ทั้งชวนให้ไปกินเหล้าเป็นเพื่อน ทั้งพร่ำร้องว่าอยากตายจะได้ไม่ต้องมาทนเจ็บทนทุกข์อยู่อย่างนี้
วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ใบเสร็จค่าทางด่วน
ถ้าไม่ได้โจทย์ให้หยิบของที่ 'ชอบ' มา 20 ชิ้น
แอนก็คงไม่ได้นึกถึง 'ช่วงเวลาเก่าๆในวัยเด็ก'
ที่ครั้งหนึ่ง 'ใบเสร็จค่าทางด่วน' นั้น...มีความหมายสำหรับแอนมากเพียงใด...
ในตอนเด็ก...ที่บ้านจะมีพี่เลี้ยงอยู่ 2 คน
ทั้งสองเป็นพี่น้องกันเลยมาทำงานและอาศัยอยู่ที่บ้านแอน
ทั้งคู่จะคอยทำความสะอาดบ้าน และดูแลแอนกับน้องอีกสองคน
ทุกๆเช้าหลังกินอาหารฝีมือพี่เลี้ยงเสร็จ ก็จะมีรถนักเรียนมารับไปโรงเรียน
พอตกเย็นรถนักเรียนก็จะพาพวกเรากลับบ้าน
ฟังดูแล้วเหมือนน่าอิจฉา
แต่สิ่งทีต้องแลกกับความสะดวกสบายพวกนั้นคือ...
แอนกับน้องแทบไม่ได้เจอพ่อ กับ แม่เลยด้วยซ้ำ
เพราะพวกท่านต้องทำงาน กว่าจะกลับก็ค่ำมืด
จนพวกเราพี่น้องเข้านอนพร้อมพี่เลี้ยงไปหมดแล้ว
แอนรู้ว่าที่บ้านแอนไม่ได้มีฐานะร่ำรวย
ไม่มีมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษให้มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย
สิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดคือน้ำพักของบุคคลที่ได้ชื่อว่า "พ่อ กับ แม่"
พวกท่านต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูพวกแอนและน้องให้ดี
...แต่ก็ยังอดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี...
เคยมีครั้งหนึ่งพี่เลี้ยงทั้งสองคนลากลับบ้านที่ต่างจังหวัด
รถนักเรียนก็พาพวกเรามาส่งบ้านตามปกติ
ปรากฎว่า 'บ้านล็อค' ทั้งแอนทั้งน้องต่างก็ไม่มีกุญแจบ้าน ก็ต้องนั่งรออยู่หน้าบ้าน
จะปีนเข้ารั้วบ้านก็ไม่ได้เพราะมันอยู่สูงเกินไป และเป็นรั้วปลายแหลม
นั่งรอไม่รู้กี่ชั่วโมงจนคนตรงข้ามบ้านที่สนิทกับครอบครัวมาเห็นเข้า
จึงพาพวกเราสามพี่น้องไปนั่งรอที่บ้านของเขาจนกว่าป๊ากับม๊าจะกลับมา
เหงานะ เศร้านะ แล้วน้อยใจมากด้วยในช่วงเวลานั้น
ว่าทำไม ป๊า กับ ม๊า ถึงได้เห็นงานสำคัญกว่า ก็อย่างว่านะ...ยังเด็กนิหน่า...
จนมีวันนึง แอนเข้าไปนั่งเล่นที่ห้องทำงานของป๊า กับ ม๊า
ก็ไปเจอกล่องๆหนึ่งที่ใส่พวกใบเสร็จต่างๆไว้ในนั้น
มีทั้งใบเสร็จซื้อของห้างสรรพสินค้า ใบเสร็จค่าอาหารและ'ใบเสร็จค่าทางด่วน'
ในตอนแรกแอนก็ไม่เข้าใจความหมายของมัน
แต่เมื่อลองถาม "แม่" แม่ก็ได้บอก(ทำนอง)ว่า...
ใบนี้นะ...เป็นใบเสร็จที่เราได้จากการจ่ายเงินเพื่อขึ้นทางด่วน
ในนั้นจะบันทึกบอกวัน เดือน ปี และสถานที่ที่เราไป
หลังจากรู้แล้วว่าไอ้ใบนี้มันมีความสำคัญยังไง
แอนก็เริ่มเก็บสะสมจากการ 'รื้อ' ใบเสร็จค่าทางด่วนนี้ออกจากกล่องเก็บใบเสร็จ
เอาแต่ละใบมาแปะไว้ตรงกำแพงห้องนอนของแอนเอง
เพราะหวังว่าอย่างน้อย...ก็จะได้ใกล้ชิดพ่อ กับ แม่อีกสักนิด...
แต่ทั้งหมดนี้ ก็แค่เรื่องในวัยเด็กเท่านั้น
ปัจจุบันบ้านหลังนั้นก็มีคนซื้อไปทุบทิ้งสร้างใหม่แล้ว
และตอนนี้ป๊า กับ ม๊า ก็ได้ให้ 'เวลา' อย่างเต็มที่กับพวกแอนแล้ว
โดยเลิกทำงานก่อนหน้านี้ แล้วหันมาทำธุรกิจที่บ้านแทน
ที่มา : เรื่องราวในวัยเด็ก กับ 'ใบเสร็จค่าทางด่วน'
แอนก็คงไม่ได้นึกถึง 'ช่วงเวลาเก่าๆในวัยเด็ก'
ที่ครั้งหนึ่ง 'ใบเสร็จค่าทางด่วน' นั้น...มีความหมายสำหรับแอนมากเพียงใด...
ในตอนเด็ก...ที่บ้านจะมีพี่เลี้ยงอยู่ 2 คน
ทั้งสองเป็นพี่น้องกันเลยมาทำงานและอาศัยอยู่ที่บ้านแอน
ทั้งคู่จะคอยทำความสะอาดบ้าน และดูแลแอนกับน้องอีกสองคน
ทุกๆเช้าหลังกินอาหารฝีมือพี่เลี้ยงเสร็จ ก็จะมีรถนักเรียนมารับไปโรงเรียน
พอตกเย็นรถนักเรียนก็จะพาพวกเรากลับบ้าน
ฟังดูแล้วเหมือนน่าอิจฉา
แต่สิ่งทีต้องแลกกับความสะดวกสบายพวกนั้นคือ...
แอนกับน้องแทบไม่ได้เจอพ่อ กับ แม่เลยด้วยซ้ำ
เพราะพวกท่านต้องทำงาน กว่าจะกลับก็ค่ำมืด
จนพวกเราพี่น้องเข้านอนพร้อมพี่เลี้ยงไปหมดแล้ว
แอนรู้ว่าที่บ้านแอนไม่ได้มีฐานะร่ำรวย
ไม่มีมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษให้มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย
สิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดคือน้ำพักของบุคคลที่ได้ชื่อว่า "พ่อ กับ แม่"
พวกท่านต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูพวกแอนและน้องให้ดี
...แต่ก็ยังอดน้อยใจไม่ได้อยู่ดี...
เคยมีครั้งหนึ่งพี่เลี้ยงทั้งสองคนลากลับบ้านที่ต่างจังหวัด
รถนักเรียนก็พาพวกเรามาส่งบ้านตามปกติ
ปรากฎว่า 'บ้านล็อค' ทั้งแอนทั้งน้องต่างก็ไม่มีกุญแจบ้าน ก็ต้องนั่งรออยู่หน้าบ้าน
จะปีนเข้ารั้วบ้านก็ไม่ได้เพราะมันอยู่สูงเกินไป และเป็นรั้วปลายแหลม
นั่งรอไม่รู้กี่ชั่วโมงจนคนตรงข้ามบ้านที่สนิทกับครอบครัวมาเห็นเข้า
จึงพาพวกเราสามพี่น้องไปนั่งรอที่บ้านของเขาจนกว่าป๊ากับม๊าจะกลับมา
เหงานะ เศร้านะ แล้วน้อยใจมากด้วยในช่วงเวลานั้น
ว่าทำไม ป๊า กับ ม๊า ถึงได้เห็นงานสำคัญกว่า ก็อย่างว่านะ...ยังเด็กนิหน่า...
จนมีวันนึง แอนเข้าไปนั่งเล่นที่ห้องทำงานของป๊า กับ ม๊า
ก็ไปเจอกล่องๆหนึ่งที่ใส่พวกใบเสร็จต่างๆไว้ในนั้น
มีทั้งใบเสร็จซื้อของห้างสรรพสินค้า ใบเสร็จค่าอาหารและ'ใบเสร็จค่าทางด่วน'
ในตอนแรกแอนก็ไม่เข้าใจความหมายของมัน
แต่เมื่อลองถาม "แม่" แม่ก็ได้บอก(ทำนอง)ว่า...
ใบนี้นะ...เป็นใบเสร็จที่เราได้จากการจ่ายเงินเพื่อขึ้นทางด่วน
ในนั้นจะบันทึกบอกวัน เดือน ปี และสถานที่ที่เราไป
หลังจากรู้แล้วว่าไอ้ใบนี้มันมีความสำคัญยังไง
แอนก็เริ่มเก็บสะสมจากการ 'รื้อ' ใบเสร็จค่าทางด่วนนี้ออกจากกล่องเก็บใบเสร็จ
เอาแต่ละใบมาแปะไว้ตรงกำแพงห้องนอนของแอนเอง
เพราะหวังว่าอย่างน้อย...ก็จะได้ใกล้ชิดพ่อ กับ แม่อีกสักนิด...
แต่ทั้งหมดนี้ ก็แค่เรื่องในวัยเด็กเท่านั้น
ปัจจุบันบ้านหลังนั้นก็มีคนซื้อไปทุบทิ้งสร้างใหม่แล้ว
และตอนนี้ป๊า กับ ม๊า ก็ได้ให้ 'เวลา' อย่างเต็มที่กับพวกแอนแล้ว
โดยเลิกทำงานก่อนหน้านี้ แล้วหันมาทำธุรกิจที่บ้านแทน
ที่มา : เรื่องราวในวัยเด็ก กับ 'ใบเสร็จค่าทางด่วน'
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552
น้ำตาจากฟากฟ้า
บรรยากาศอึมครึม ท้องฟ้าสีหม่นดูแล้วรู้สึกหมองหม่นชะมัด
ไม่ชอบเลยบรรยากาศแบบนี้ มันดูน่าเศร้า น่าหดหู่ อยากร้องไห้
เคยมีเพื่อนบอกไว้ว่า 'ฝน' ที่ตกลงมา คือ 'น้ำตาจากสวรรค์'
...สวรรค์กำลังร่ำไห้...
บางอารมณ์ก็รู้สึกว่ามันฟังดูแล้วช่างโรแมนติก
แต่อีกอารมณ์ก็อาจจะรู้สึกเช่นเดียวกับสวรรค์
สายฝนแม้จะชุ่มชื่น เย็นสบาย แต่ในอีกแง่มันก็ทำให้เปียกปอน
เมื่ออยู่กับเพื่อน แอนมักรู้สึกสนุกเมื่อเจอเวลาฝนตก
เพราะเราจะได้วิ่งฝ่าน้ำฝนเหล่านี้หลบใต้อาคารเรียนไปเรื่อยๆ
หรือไม่ก็ยืนหลบฝนแล้วเล่าพูดคุยหัวเราะให้กัน
แต่เมื่ออยู่คนเดียว...ก็ต้องหวนไปนึกถึงอดีตที่ยากจะลืมเลือน...
ที่มา : วันนี้คือวันครบรอบวันตาย 1 ปีของอาม่า วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกเช่นเดียวกับวันนี้ ฝนในวันนั้นไม่ได้ตกหนัก เพียงแค่ตกพรำๆ แต่ไม่ว่ายังไง มันก็ยังเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับแอนอยู่ดี...
ไม่ชอบเลยบรรยากาศแบบนี้ มันดูน่าเศร้า น่าหดหู่ อยากร้องไห้
เคยมีเพื่อนบอกไว้ว่า 'ฝน' ที่ตกลงมา คือ 'น้ำตาจากสวรรค์'
...สวรรค์กำลังร่ำไห้...
บางอารมณ์ก็รู้สึกว่ามันฟังดูแล้วช่างโรแมนติก
แต่อีกอารมณ์ก็อาจจะรู้สึกเช่นเดียวกับสวรรค์
สายฝนแม้จะชุ่มชื่น เย็นสบาย แต่ในอีกแง่มันก็ทำให้เปียกปอน
เมื่ออยู่กับเพื่อน แอนมักรู้สึกสนุกเมื่อเจอเวลาฝนตก
เพราะเราจะได้วิ่งฝ่าน้ำฝนเหล่านี้หลบใต้อาคารเรียนไปเรื่อยๆ
หรือไม่ก็ยืนหลบฝนแล้วเล่าพูดคุยหัวเราะให้กัน
แต่เมื่ออยู่คนเดียว...ก็ต้องหวนไปนึกถึงอดีตที่ยากจะลืมเลือน...
ที่มา : วันนี้คือวันครบรอบวันตาย 1 ปีของอาม่า วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกเช่นเดียวกับวันนี้ ฝนในวันนั้นไม่ได้ตกหนัก เพียงแค่ตกพรำๆ แต่ไม่ว่ายังไง มันก็ยังเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับแอนอยู่ดี...
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน
เคยนึกเสมอว่าโลกเรานั้นมีอะไรที่เรียกว่า 'พอดี' ได้บ้าง
แม้ 1+1=2 แต่ 2+0 ก็ =2 เหมือนกัน
พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพียงแค่ 2 เพศ คือ ชาย และ หญิง
แต่ทำไมยังมีเพศที่ 3 โผล่ขึ้นมาได้ก็ไม่รู้
เท่านี้ก็เห็นได้แล้วว่า 'โลกเราไม่มีอะไรแน่นอน'
สิ่งที่เราคิดอยู่ อาจถูกหรือผิดก็ได้
ถ้าโลกเราไม่มีอะไรแน่นอน แล้วความแน่นอนนั้นคืออะไร?
คำตอบก็คือ ทัศนคติของแต่ละคนที่บ่มเพาะจากประสบการณ์
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรอย่าตัดสินอะไรจากเพียงเท่าที่ตาเราเห็น เท่าที่เราได้รับฟัง
เพราะ 'โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน'
สิ่งที่เราได้เห็น สิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราได้ฟัง อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้
แม้ 1+1=2 แต่ 2+0 ก็ =2 เหมือนกัน
พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพียงแค่ 2 เพศ คือ ชาย และ หญิง
แต่ทำไมยังมีเพศที่ 3 โผล่ขึ้นมาได้ก็ไม่รู้
เท่านี้ก็เห็นได้แล้วว่า 'โลกเราไม่มีอะไรแน่นอน'
สิ่งที่เราคิดอยู่ อาจถูกหรือผิดก็ได้
ถ้าโลกเราไม่มีอะไรแน่นอน แล้วความแน่นอนนั้นคืออะไร?
คำตอบก็คือ ทัศนคติของแต่ละคนที่บ่มเพาะจากประสบการณ์
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรอย่าตัดสินอะไรจากเพียงเท่าที่ตาเราเห็น เท่าที่เราได้รับฟัง
เพราะ 'โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน'
สิ่งที่เราได้เห็น สิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราได้ฟัง อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้
วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552
กลางคืนที่น่าสงสาร...

เมื่อพูดถึง "กลางวัน" เรามักนึกถึง "แสงสว่าง"
เมื่อพูดถึง "กลางคืน" เรามักนึกถึง "ความมืด"
ทำไมคนเรามักกลัวกลางคืน?
...เพราะกลางคืนมีความมืดเข้าปกคลุมงั้นหรือ...
ทำไมเวลาพูดถึงเรื่องผีสางตอนกลางวันกลับดูไม่น่ากลัวเท่ากลางคืน?
...เพราะบรรยากาศที่วังเวงและเงียบเหงางั้นหรือ...
หรือเพราะกลางคืนเป็นช่วงที่ทุกคนอยู่ในห้วงนิทรา
เลยทำให้ช่วงเวลานี้ดูราวกับไร้ผู้คนเมื่อเทียบกับกลางวัน?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...กลางคืนก็น่าสงสาร...
กลางวันได้เห็นผู้คนมากมายใช่ชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์
แต่กลางคืนกลับเห็นเพียงหลังคาบ้านของผู้คนที่อยู่ในช่วงนิทรา
กลางวันได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้คน
แต่กลางคืนกลับเห็นคนหวาดกลัวกับความมืดมากกว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
ถ้ากลางวัน กับ กลางคืน มีหัวใจ...
กลางวันคงเปรียบได้กับเด็กที่ร่าเริงสดใสเฉกเช่นดวงอาทิตย์
และกลางคืนคงเปรียบได้กับเด็กที่เงียบเหงา แลดูอ้างว้างโดดเดี่ยว
ทั้งกลางวันและกลางคืนเปรียบดั่งเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้
ทั้งสองเพียงแค่ทำหน้าที่ผลัดกันวันละ 12 ชม. เพื่อให้โลกนี้สมดุล
แต่ไม่ว่ายังไง...ฉันก็ยังสงสารกลางคืนอยู่ดี...
ที่มา : ตอนนั่งทำงานเสนอ Degree Project เบื้องหน้าเป็นหน้าต่างที่มีแต่ความมืดปกคลุมจนตัวเองรู้สึกกลัวความมืดนั้น แต่อีกใจก็คิดไปว่า หากกลางคืนมีชีวิต...มันก็คงน่าเศร้าใจไม่ใช้น้อย เพราะใครๆต่างก็กลัวความมืดที่กลางคืนหยิบยื่นให้
เมื่อพูดถึง "กลางคืน" เรามักนึกถึง "ความมืด"
ทำไมคนเรามักกลัวกลางคืน?
...เพราะกลางคืนมีความมืดเข้าปกคลุมงั้นหรือ...
ทำไมเวลาพูดถึงเรื่องผีสางตอนกลางวันกลับดูไม่น่ากลัวเท่ากลางคืน?
...เพราะบรรยากาศที่วังเวงและเงียบเหงางั้นหรือ...
หรือเพราะกลางคืนเป็นช่วงที่ทุกคนอยู่ในห้วงนิทรา
เลยทำให้ช่วงเวลานี้ดูราวกับไร้ผู้คนเมื่อเทียบกับกลางวัน?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง...กลางคืนก็น่าสงสาร...
กลางวันได้เห็นผู้คนมากมายใช่ชีวิตภายใต้แสงอาทิตย์
แต่กลางคืนกลับเห็นเพียงหลังคาบ้านของผู้คนที่อยู่ในช่วงนิทรา
กลางวันได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้คน
แต่กลางคืนกลับเห็นคนหวาดกลัวกับความมืดมากกว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
ถ้ากลางวัน กับ กลางคืน มีหัวใจ...
กลางวันคงเปรียบได้กับเด็กที่ร่าเริงสดใสเฉกเช่นดวงอาทิตย์
และกลางคืนคงเปรียบได้กับเด็กที่เงียบเหงา แลดูอ้างว้างโดดเดี่ยว
ทั้งกลางวันและกลางคืนเปรียบดั่งเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้
ทั้งสองเพียงแค่ทำหน้าที่ผลัดกันวันละ 12 ชม. เพื่อให้โลกนี้สมดุล
แต่ไม่ว่ายังไง...ฉันก็ยังสงสารกลางคืนอยู่ดี...
ที่มา : ตอนนั่งทำงานเสนอ Degree Project เบื้องหน้าเป็นหน้าต่างที่มีแต่ความมืดปกคลุมจนตัวเองรู้สึกกลัวความมืดนั้น แต่อีกใจก็คิดไปว่า หากกลางคืนมีชีวิต...มันก็คงน่าเศร้าใจไม่ใช้น้อย เพราะใครๆต่างก็กลัวความมืดที่กลางคืนหยิบยื่นให้
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2552
นอกรอบ #2 เรื่องของเพื่อน
"เพื่อน" บุคคลที่เราขาดไม่ได้นอกเหนือจากครอบครัว
กลุ่มคนที่มารวมตัวกันแม้ต่างจังหวัด ต่างฐานะ ก็เป็น"เพื่อน" กัน
เพราะ ?
เพราะมนุษย์อยู่คนเดียวไม่ได้อย่างงั้นหรือ?
ใช่...มนุษย์ส่วนมากกลัวตัวเองอ้างว้าง กลัวความเดียวดาย
แอนเองก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน
แต่เมื่อหวนนึกย้อนกลับไปคิด ว่าความเป็นเพื่อนมันคืออะไรกันแน่
บางครั้งก็แข็งแกร่ง บางครั้งก็เปราะบางเสียเหลือเกิน
บางทีเรื่องของความรักก็สร้างความแตกแยกระหว่าง "เพื่อน" ได้แล้ว
มนุษย์เราเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก
สำหรับแอนแล้ว การอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ก็โอเค
แต่แอนพึงพอใจกับการอยู่กับเพื่อนเพียงไม่กี่คนมากกว่า
ไม่ใช่ว่าตัวเองเข้ากับคนได้ยาก เพราะถ้าใครได้คุยด้วยจริงๆคงจะรู้
แอนไม่ได้วัดคำว่า "เพื่อน" ด้วยปริมาณเหมือนที่ใครบางคนเห็นว่ามันจำเป็น
แต่ "เพื่อน" สำหรับแอน คือคนที่แอนเลือกที่จะอยู่ เลือกที่จะสนิทใจด้วย
เพราะคนๆนั้น เวลาแอนอยู่ด้วยแล้วจะรู้สึกสบายใจ
แต่คนอื่นๆที่เคยคุยด้วย เคยเรียนด้วยกัน ก็คือ "เพื่อน" เหมือนกัน
สำหรับแอนแล้ว ความเป็น "เพื่อน" ขึ้นอยู่กับใจเราตัดสิน
เพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมคณะ เพื่อนร่วมสถาบัน เพื่อนร่วมโลก
ทุกคน ก็คือ "เพื่อน"
มันจะแตกต่างก็ตรงที่ 'ความสนิท' เท่านั้นเอง
-----------------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Cotton T-Shirt

Cotton USA T-Shirt Design Contest
นี่เป็นโปสเตอร์งานประกวดออกแบบลายเสื้อรักษ์โลกที่แอนเองก็ร่วมส่งผลงานไป
ที่ส่งไปส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอาจารย์บลูได้สั่งไว้ในห้องเรียน
และอีกส่วนหนึ่งเพราะอยากมีส่วนในการช่วยโลกแม้มันเป็นเพียงแค่งานออกแบบลายเสื้อก็ตาม
หลังจากได้หาข้อมูลเพื่อการออกแบบลายเสื้อนี้ ทำให้เห็นได้ว่ามนุษย์นั้นใส่ใจกับธรรมชาติค่อนข้างมาก
เห็นได้จากโครงการต่างๆที่ช่วยกันรักษ์โลกที่ได้โพสไว้ใน Internet
ทุกวันนี้โลกเรามีแต่ร้อนขึ้นๆ แสงแดดก็แรงขึ้นจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็ยังมีพวกตัดไม้ทำลายป่าและผลิตมลภาวะอยู่ทุกวัน
จนบางทีแอนอดสงสัยไม่ได้ว่า...
ทำไมคนบางจำพวกถึงได้ไม่คิดถึงผลที่ตามหลังมาบ้าง?
แต่จะพูดไปก็ใช่เรื่อง ในเมื่อตัวเราเองก็มีส่วนในการผลิตมลภาวะนั้นเหมือนกัน
เพราะแอนเองก็ยังต้องนั่งรถไปเรียน ยังต้องบริโภคสินค้าต่างๆที่ผลิตมาจากโรงงาน ฯลฯ
แม้บางครั้งจะไม่ได้เป็นคนผลิตมลภาวะนั้นโดยตรงแต่ก็ถือเป็นแรงสนับสนุนให้ผู้ผลิตสร้างมลภาวะ
บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า...หากประเทศไทยมีการคมนาคม และการสัญจรที่ดี
เช่น มีรถไฟฟ้าที่ไปมาอย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อปริมาณคนในประเทศ แล้วทุกคนหันมาใช้จักรยานแทนรถยนต์ คงจะดีไม่น้อย
แต่ก็อย่างว่า...มันคงเป็นได้แค่ฝันลมๆแล้งๆ เพราะแค่เห็นแดด ทุกคนก็คงอยากนั่งอยู่บนรถที่ฉ่ำไปด้วยแอร์เย็นๆเป็นแน่
ที่มา : จากการที่ได้ออกแบบเสื้อรักษ์โลก ภายใต้หัวข้อ "รักษ์โลกให้สดใสด้วยเส้นใยธรรมชาติ" ในวิชา Issue
วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552
จงมีชีวิตอยู่กับวันนี้เท่านั้น!
อดีตทำให้มีปัจจุบัน และปัจจุบันจะก่อให้เกิดอนาคต
แต่ปัจจุบันจะสำคัญไปได้อย่างไร หากเรายังยึดติดกับอดีตและพึ่งหวังเพียงอนาคต
คนเราทุกคนมีทั้งอดีตที่น่าจดจำ และไม่น่าพิศมัยด้วยกันทุกคน
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมนุษย์ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้...
อดีตแค่สอนบทเรียน และเป็นเพียงความทรงจำที่ดี
เรา...อยู่กับวันนี้ ...มีชีวิตอยู่ได้แค่ตอนนี้เท่านั้น...
เพราะชีวิตคนมันไม่แน่นอน จู่ๆเราอาจโดนรถชนตายไปโดยไม่คาดฝันก็เป็นได้
แล้วเราจะหวังพึ่งอะไรได้กับอนาคตหากเราไม่ดูแลปัจจุบันให้ดี
ดังนั้นเราน่าจะทำ...วันนี้...ให้มีความหมายมากที่สุดไม่ใช่หรือ?
สนุกกับเวลานี้...ร้องไห้เฉพาะวันนี้...แล้วเข้มแข็งขึ้นเพื่ออนาคตในวันข้างหน้า
ที่มา : หนังสือ How to Stop Worrying and Start Living : หยุดวิตกกังวล และ อยู่อย่างมีความสุข : หัวข้อเรื่อง จงมีชีวิตอยู่กับวันนี้เท่านั้น!
แต่ปัจจุบันจะสำคัญไปได้อย่างไร หากเรายังยึดติดกับอดีตและพึ่งหวังเพียงอนาคต
คนเราทุกคนมีทั้งอดีตที่น่าจดจำ และไม่น่าพิศมัยด้วยกันทุกคน
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมนุษย์ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้...
อดีตแค่สอนบทเรียน และเป็นเพียงความทรงจำที่ดี
เรา...อยู่กับวันนี้ ...มีชีวิตอยู่ได้แค่ตอนนี้เท่านั้น...
เพราะชีวิตคนมันไม่แน่นอน จู่ๆเราอาจโดนรถชนตายไปโดยไม่คาดฝันก็เป็นได้
แล้วเราจะหวังพึ่งอะไรได้กับอนาคตหากเราไม่ดูแลปัจจุบันให้ดี
ดังนั้นเราน่าจะทำ...วันนี้...ให้มีความหมายมากที่สุดไม่ใช่หรือ?
สนุกกับเวลานี้...ร้องไห้เฉพาะวันนี้...แล้วเข้มแข็งขึ้นเพื่ออนาคตในวันข้างหน้า
ที่มา : หนังสือ How to Stop Worrying and Start Living : หยุดวิตกกังวล และ อยู่อย่างมีความสุข : หัวข้อเรื่อง จงมีชีวิตอยู่กับวันนี้เท่านั้น!
วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552
นอกรอบ #1 เรื่องของรองเท้า
บทลำนำเรื่อง...
ขากลับบ้านวันหนึ่งไปเจอรองเท้าส้นสูงสีขาวส้นปิดคู่หนึ่งถูกใจมาก
เมื่อไถ่ถามราคา และมองดูเงินในกระเป๋า ก็ได้ฤกษ์ซื้อทันที
พอวันรุ่งขึ้นก็ประเดิมใส่ออกนอกบ้านไปทำธุระกับแม่
แต่ขากลับบ้านในตอนเย็น ปรากฏว่า... "รองเท้ากัด!"
เลยโทรฯไปโวยวายกับเพื่อนสนิทสมัย ม.ปลาย
แต่ข้อผิดพลาดที่สุดที่ทำลงไป คือ...
เพื่อนคนนี้ดันเป็นพวกชอบซื้อรองเท้าแพงๆใส่
ดังนั้นมันเลยเป็นพวกไม่เข้าใจสภาพของคนโดนรองเท้ากัด
แถมโดนบอกอีกว่า "เพราะแกชอบซื้อรองเท้าตามถนนใส่อะสิ มันเลยกัดเอา"
เออ...ทั้งรองเท้า ทั้งเพื่อน กัดพอกันเลย -_-^
ก่อนเปิดเรียนเลยไปเดินหาซื้อรองเท้าใหม่
และได้รองเท้าลายน่ารักถูกใจที่ราคามากกว่าคู่เดิมถึง 5 เท่ามาใส่เล่น
แต่ปรากฏว่า...รองเท้ากัด! เหมือนเดิม!! แถมรุนแรงกว่าเก่าอีกด้วย!!!!!
วันนี้เลยเดินเท้าหงิกคอตกกลับหอเลย...
เรื่องคราวนี้สอนให้รู้ว่า...
รองเท้า...ไม่ว่าจะถูกหรือแพง
หากมันจะกัด...มันก็กัด!!!
ขากลับบ้านวันหนึ่งไปเจอรองเท้าส้นสูงสีขาวส้นปิดคู่หนึ่งถูกใจมาก
เมื่อไถ่ถามราคา และมองดูเงินในกระเป๋า ก็ได้ฤกษ์ซื้อทันที
พอวันรุ่งขึ้นก็ประเดิมใส่ออกนอกบ้านไปทำธุระกับแม่
แต่ขากลับบ้านในตอนเย็น ปรากฏว่า... "รองเท้ากัด!"
เลยโทรฯไปโวยวายกับเพื่อนสนิทสมัย ม.ปลาย
แต่ข้อผิดพลาดที่สุดที่ทำลงไป คือ...
เพื่อนคนนี้ดันเป็นพวกชอบซื้อรองเท้าแพงๆใส่
ดังนั้นมันเลยเป็นพวกไม่เข้าใจสภาพของคนโดนรองเท้ากัด
แถมโดนบอกอีกว่า "เพราะแกชอบซื้อรองเท้าตามถนนใส่อะสิ มันเลยกัดเอา"
เออ...ทั้งรองเท้า ทั้งเพื่อน กัดพอกันเลย -_-^
ก่อนเปิดเรียนเลยไปเดินหาซื้อรองเท้าใหม่
และได้รองเท้าลายน่ารักถูกใจที่ราคามากกว่าคู่เดิมถึง 5 เท่ามาใส่เล่น
แต่ปรากฏว่า...รองเท้ากัด! เหมือนเดิม!! แถมรุนแรงกว่าเก่าอีกด้วย!!!!!
วันนี้เลยเดินเท้าหงิกคอตกกลับหอเลย...
เรื่องคราวนี้สอนให้รู้ว่า...
รองเท้า...ไม่ว่าจะถูกหรือแพง
หากมันจะกัด...มันก็กัด!!!
ที่มา : รองเท้ากัดขาจนปวด แสบ ระทมไปตลอดทางที่เดินจากมหาลัยกลับหอ
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ตื่นเต้น!
ใจระส่ำระส่ายนอนไม่หลับ...เคยเป็นไหม?
จู่ๆหัวใจก็เต้นแรง และเกิดรู้สึกประหม่า...เคยเป็นไหม?
มันอาจไม่ใช่ความรัก แต่ความ 'ตื่นเต้น' ก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้
ตื่นเต้นจนประหม่า ทำให้คนนักต่อนักผิดพลาด
ตื่นเต้นจนร้อนรน ทำให้คนนักต่อนักล้มเหลว
ไม่ว่าใครก็ผิดพลั้งได้ แต่เพราะความตื่นเต้น..ทำให้เราพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาด!
แล้วควรจะทำอย่างไรให้จิตใจสงบ?
การสงบสติอารมณ์อาจพูดได้ง่ายดาย แต่เอาเข้าจริงแล้วมันทำได้ยากยิ่ง
การนั่งสมาธิอาจช่วยให้จิตใจสงบลงได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด
แล้วอะไรล่ะ...ที่จะช่วยเราตรงจุดนั้นได้?
คำตอบของตัวฉัน นั่นคือ "ความมั่นใจ"
ยกตัวอย่าง ตอนที่เราเสนองานวิทยานิพนธ์ แน่นอนว่าเราต้องทั้งตื่นเต้นและประหม่าเพราะแรงกดดัน แต่ถ้าเราศึกษาและทำการบ้านมาดี เราก็จะมีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นว่าเราเองก็ทำได้ เมื่อถึงเวลา...เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป...
' วิ่งชนกับปัญหาอย่างกล้าหาญดีเสียกว่านั่งคุดขู้อย่างคนจนหนทาง '
ที่มา : รู้สึกตื่นเต้นเมื่อวันรุ่นขึ้นต้องแต่งชุดที่คิดว่าดีที่สุดไปมหาลัย ใจหนึ่งก็ตื่นเต้น อีกใจก็รู้สึกกลัวว่าเราจะทำออกมาไม่ดีรึเปล่า?
จู่ๆหัวใจก็เต้นแรง และเกิดรู้สึกประหม่า...เคยเป็นไหม?
มันอาจไม่ใช่ความรัก แต่ความ 'ตื่นเต้น' ก็ทำให้เราเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้
ตื่นเต้นจนประหม่า ทำให้คนนักต่อนักผิดพลาด
ตื่นเต้นจนร้อนรน ทำให้คนนักต่อนักล้มเหลว
ไม่ว่าใครก็ผิดพลั้งได้ แต่เพราะความตื่นเต้น..ทำให้เราพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาด!
แล้วควรจะทำอย่างไรให้จิตใจสงบ?
การสงบสติอารมณ์อาจพูดได้ง่ายดาย แต่เอาเข้าจริงแล้วมันทำได้ยากยิ่ง
การนั่งสมาธิอาจช่วยให้จิตใจสงบลงได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด
แล้วอะไรล่ะ...ที่จะช่วยเราตรงจุดนั้นได้?
คำตอบของตัวฉัน นั่นคือ "ความมั่นใจ"
ยกตัวอย่าง ตอนที่เราเสนองานวิทยานิพนธ์ แน่นอนว่าเราต้องทั้งตื่นเต้นและประหม่าเพราะแรงกดดัน แต่ถ้าเราศึกษาและทำการบ้านมาดี เราก็จะมีความมั่นใจ มีความเชื่อมั่นว่าเราเองก็ทำได้ เมื่อถึงเวลา...เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป...
' วิ่งชนกับปัญหาอย่างกล้าหาญดีเสียกว่านั่งคุดขู้อย่างคนจนหนทาง '
ที่มา : รู้สึกตื่นเต้นเมื่อวันรุ่นขึ้นต้องแต่งชุดที่คิดว่าดีที่สุดไปมหาลัย ใจหนึ่งก็ตื่นเต้น อีกใจก็รู้สึกกลัวว่าเราจะทำออกมาไม่ดีรึเปล่า?
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552
กรอบความคิด

เราคงคิดว่ามีทวีปเพียงทวีปเดียว นั่นคือ ที่ๆเราอยู่
หากไม่มีดาวเทียมพิสูจน์ว่าโลกนั้นมีลักษณะกลม
เราคงคิดว่าโลกนั้นมีลักษณะแบน
เพราะมองเห็นเพียงเส้นขอบฟ้า...
...เราเห็นโลกเท่าที่ตัวเองเห็น...
คนแต่ละคนมี 'กรอบความคิด' เป็นของตัวเอง
มนุษย์เชื่อในสิ่งที่เห็นเอง มนุษย์เชื่อ...เมื่ออยากเชื่อ...โดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
บางคนเห็นกุหลาบบ้างว่าสวย บ้างว่าไม่ เพราะเขามีเหตุผลของตัวเขาเอง
จะไปบังคับให้คนไม่ชอบกุหลาบมาชอบกุหลาบ...ก็คงไม่ได้
เช่นเดียวกันกับงานออกแบบ เมื่อเราสร้างสรรค์ผลงานออกมาแล้ว ก็จะมีทั้งคนติ และคนชม
งานเราอาจจะดู สวย ในมุมมองของคนบางคน และอาจเป็น ขยะ ในสายตาของคนบางคนเช่นกัน
มันเป็น 'ทัศนคติ' ของแต่ละบุคคล ถ้าเรายอมรับความจริงได้และนำคำติชมมาปรับปรุงแก้ไข
ท้ายสุดผลประโยชน์ก็ไม่ตกที่ใคร...เพราะเรามันจะอยู่ที่ตัวเราเอง...
ที่มา : นั่งมองไปออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าที่กว้างออกไปแล้วทำให้เกิดความคิดที่ว่า "เราเห็นโลกเท่าที่คัวเองเห็น"
วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2552
What is Best Design?
งานดีไซน์จะดี หรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับ World View (โลกทัศน์) ของผู้วิเคราะห์
มองต่างกัน แก้ไขต่างกัน ให้ผลลัพธ์ต่างกัน...
ดี หรือ ไม่ดี ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และกรอบความคิดของคนแต่ละคน
งานดีไซน์บางชิ้นอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีในบริบทหนึ่ง
แต่อาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีในอีกบริบทหนึ่งก็ได้
ขึ้นอยู่กับกรอบความคิดในการนำมาตัดสิน
ในความคิดคุณสมบัติของงานดีไซน์ที่ดี ควรมีคำตอบหรือวิธีแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
ที่มา : รุ่นพี่เปิดประเด็นเรื่องนี้มาถามใน MSN
มองต่างกัน แก้ไขต่างกัน ให้ผลลัพธ์ต่างกัน...
ดี หรือ ไม่ดี ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และกรอบความคิดของคนแต่ละคน
งานดีไซน์บางชิ้นอาจให้ผลลัพธ์ที่ดีในบริบทหนึ่ง
แต่อาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีในอีกบริบทหนึ่งก็ได้
ขึ้นอยู่กับกรอบความคิดในการนำมาตัดสิน
ในความคิดคุณสมบัติของงานดีไซน์ที่ดี ควรมีคำตอบหรือวิธีแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
ที่มา : รุ่นพี่เปิดประเด็นเรื่องนี้มาถามใน MSN
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Sale !

ของฟรี ของแถม ของลดราคา...
ใครๆก็ต้องเหลียวมองเมื่อมองเห็นป้าย!
สมมติ...วันหนึ่งเรากำลังเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า
เรามองเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าที่มีชุดสวยๆเรียงรายอยู่อย่างหนาตา
เราเดินเข้าไปหยิบตัวที่ชอบมากๆขึ้นมาสัมผัส... มองป้ายราคา... !!!!!
เสื้อราคาตัวละ ... บาท! (ลองคิดราคาที่คิดว่ามันแพงมาก)
เราจะเริ่มรู้สึกว่าทำไมราคามันถึงได้แพงนัก
และมันจะคุ้มค่ากับราคาที่เราจะซื้อจริงเหรอ? (แต่ก็อยากได้)
แต่ถ้าตอนเราเดินผ่าน มีป้ายติดไว้ว่า "Sale 30%-50%"
เราจะเริ่มรู้สึกว่า...โห ลด 30%-50% อย่างนี้ค่อยน่าซื้อหน่อย...
และถ้ามีป้ายติดราคาไว้ว่า "Sale 50-80%" หรือ "ซื้อ 2 แถม 1"
มันจำทำให้เรารู้สึกว่า...พลาดงานนี้คงเสียใจไปอีกนาน ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว!...
เช่นเดียวกับการต่อราคาของ
หากเราต่อราคาแม่ค้าที่ขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดได้ 20-50 บาท (ราคาสมมติ)
เราก็จะรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องซื้อราคาเต็มแล้วรีบควักเงินซื้อทันที
มันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่เสียเปรียบ
และผู้ขายก็ได้กำไรอย่างเหมาะสม
ซึ่งนี่แหละ...คือโลกแห่งการค้าขาย...
ใครๆก็ต้องเหลียวมองเมื่อมองเห็นป้าย!
สมมติ...วันหนึ่งเรากำลังเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า
เรามองเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าที่มีชุดสวยๆเรียงรายอยู่อย่างหนาตา
เราเดินเข้าไปหยิบตัวที่ชอบมากๆขึ้นมาสัมผัส... มองป้ายราคา... !!!!!
เสื้อราคาตัวละ ... บาท! (ลองคิดราคาที่คิดว่ามันแพงมาก)
เราจะเริ่มรู้สึกว่าทำไมราคามันถึงได้แพงนัก
และมันจะคุ้มค่ากับราคาที่เราจะซื้อจริงเหรอ? (แต่ก็อยากได้)
แต่ถ้าตอนเราเดินผ่าน มีป้ายติดไว้ว่า "Sale 30%-50%"
เราจะเริ่มรู้สึกว่า...โห ลด 30%-50% อย่างนี้ค่อยน่าซื้อหน่อย...
และถ้ามีป้ายติดราคาไว้ว่า "Sale 50-80%" หรือ "ซื้อ 2 แถม 1"
มันจำทำให้เรารู้สึกว่า...พลาดงานนี้คงเสียใจไปอีกนาน ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว!...
เช่นเดียวกับการต่อราคาของ
หากเราต่อราคาแม่ค้าที่ขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดได้ 20-50 บาท (ราคาสมมติ)
เราก็จะรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องซื้อราคาเต็มแล้วรีบควักเงินซื้อทันที
มันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่เสียเปรียบ
และผู้ขายก็ได้กำไรอย่างเหมาะสม
ซึ่งนี่แหละ...คือโลกแห่งการค้าขาย...
ที่มา : ตอนเดินห้างสรรพสินค้ากับเพื่อนสนิท เห็นเพื่อนรีบลากเข้าไปในพื้นที่ที่เขาลดราคาสินค้า
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Princess of Sadness

วันนี้ไปเจอ Story เรื่องหนึ่งจึงอยากเอามาแบ่งปัน
แม้จะไม่ใช่นิทานเป็นเรื่องเป็นราว แต่เนื้อหาก็ได้แง่คิดที่น่าสนใจ
เรื่องราวมีอยู่ว่า...
ณ อาณาจักรแห่งหนึ่ง พระราชาและพระราชินีเคยมีพระธิดาที่ศิริโฉมงดงาม แต่ปัจจุบันเจ้าหญิงได้กลับกลายเป็นหญิงที่อัปลักษณ์ที่สุดในโลก เจ้าหญิงถูกสาปเพราะเธอรังเกียจคนหน้าตาน่าเกลียดเป็นที่สุด จนวันหนึ่งแม่มดหน้าตาน่าเกลียดตนหนึ่งได้สาปเธอเพราะทนคำลบหลู่ไม่ได้ เจ้าหญิงจึงมีสภาพผอมซีด ผมกลางศีรษะล้านเป็นวง และสิ่งที่นำมาซึ่งความเศร้าที่สุดในชีวิตเธอคือเมื่อเธอร้องไห้ น้ำตาของเธอจะกลายเป็นไข่มุก ไม่มีใครเสียใจหรือร่ำไห้ที่เจ้าหญิงถูกสาป ทุกคนกลับดีใจและอยากให้เธอเศร้ามากยิ่งๆขึ้น แม้แต่พระราชาและพระราชินีซึ่งความโลภบังตาถึงกับประกาศว่า ถ้าใครทำให้เจ้าหญิงเศร้าได้มากที่สุด จะมีรางวัลตอบแทนอย่างงาม เพราะยิ่งเธอเศร้า อาณาจักรแห่งนี้ก็ยิ่งร่ำรวยมากขึ้น หากไม่มีใครเห็นใจเธอ ไม่มีใครรักเธอด้วยใจจริง คำสาปนี้ก็จะไม่มีวันเสื่อมตลอดกาล
หลังจากที่อ่านเรื่องนี้ทำให้คิดได้ว่า...
"เงิน" เป็นสิ่งมีค่าที่สร้างความโลภในตัวมนุษย์
ทั้งๆที่มันเป็นของนอกกาย ตายไปก็หยิบติดไปด้วยไม่ได้
แต่ทำไมเราถึงให้คุณค่ากับมันนัก?
นั่งคิดไปคิดมา ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า...
เพราะคนเรายังมีชีวิตอยู่
และเพราะยังมีชีวิตอยู่ จึงทำให้ "เงิน" มีความสำคัญ
เราซื้อความสะดวกสบายให้ชีวิต ซื้อความสุขให้จิตใจ
เราซื้อ...เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง...
แต่ถ้าความสุขของเราอยู่เหนือความทุกข์ของผู้อื่น
...เรายังอยากจะได้ "เงิน" นั้นอยู่ไหม?...
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันแล้วแต่บุคคล แล้วแต่จิตใต้สำนึกของคนนั้นๆ
ลองหาคำตอบให้กับตัวคุณเอง...ว่าถ้าเป็นคุณ คุณยังอยากได้เงินนั้นไหม?
ที่มา : หนังสือ Digital PaintingII
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สมอง vs ใจ
เรารับรู้อยู่เสมอว่า สมอง มีไว้คิดหาเหตุผล
ส่วนใจเป็นจิตสำนึกที่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคล
แต่จะมีสักกี่คนที่นั่งนึกถึงสองคำนี้อย่างจริงจัง?
ทำไมเวลาเรารับรู้เรามักใช้คำว่า "เข้าใจ" ไม่ใช้คำว่า "เข้าสมอง"
และทำไมพวกผู้ใหญ่ชอบถามเรานักว่า "ใส่ใจบ้างไหม?" หรือ "เข้าสมองบ้างรึเปล่า?"
ทั้งๆที่คำพวกนี้เราใช้ในชีวิตประจำวันแท้ๆ แต่ทำไมเวลาเราลองกลับมานั่งคิดคำพวกนี้เรากลับหานิยามของมันได้ยากนัก
ถ้าจะลองเปรียบเทียบระหว่างสมองและใจโดยมองในแง่ของตัวเองที่มองต่อศิลปะ
สมองคงมีไว้คิดเวลาได้โจทย์ ว่าโจทย์นี้ควรจะตีความหมายออกมาอย่างไรส่วนใจคงมีไว้เวลาลงมือทำงาน เพราะถ้าเราไม่มีใจรักที่จะทำ ไม่มีใจรักที่จะวาด งานศิลปะของเราก็คงเป็นได้แค่งานที่ไร้คุณค่า และถ้าเราไม่ใช้สมองในการคิดงาน งานศิลปะของเราก็คงเป็นได้แค่รูปวาดที่ตอบสนองความต้องการไม่ได้
ในความเป็นจริงยังมีอีกหลากหลายเรื่องที่เราต้องใช้ "สมอง" และ "ใจ" ในการตัดสินเรื่องราวต่างๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สภาพแวดล้อมของแต่ละคนด้วย จริงไหม?
ที่มา : คลาสเรียน Communication Design5
ส่วนใจเป็นจิตสำนึกที่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละบุคคล
แต่จะมีสักกี่คนที่นั่งนึกถึงสองคำนี้อย่างจริงจัง?
ทำไมเวลาเรารับรู้เรามักใช้คำว่า "เข้าใจ" ไม่ใช้คำว่า "เข้าสมอง"
และทำไมพวกผู้ใหญ่ชอบถามเรานักว่า "ใส่ใจบ้างไหม?" หรือ "เข้าสมองบ้างรึเปล่า?"
ทั้งๆที่คำพวกนี้เราใช้ในชีวิตประจำวันแท้ๆ แต่ทำไมเวลาเราลองกลับมานั่งคิดคำพวกนี้เรากลับหานิยามของมันได้ยากนัก
ถ้าจะลองเปรียบเทียบระหว่างสมองและใจโดยมองในแง่ของตัวเองที่มองต่อศิลปะ
สมองคงมีไว้คิดเวลาได้โจทย์ ว่าโจทย์นี้ควรจะตีความหมายออกมาอย่างไรส่วนใจคงมีไว้เวลาลงมือทำงาน เพราะถ้าเราไม่มีใจรักที่จะทำ ไม่มีใจรักที่จะวาด งานศิลปะของเราก็คงเป็นได้แค่งานที่ไร้คุณค่า และถ้าเราไม่ใช้สมองในการคิดงาน งานศิลปะของเราก็คงเป็นได้แค่รูปวาดที่ตอบสนองความต้องการไม่ได้
ในความเป็นจริงยังมีอีกหลากหลายเรื่องที่เราต้องใช้ "สมอง" และ "ใจ" ในการตัดสินเรื่องราวต่างๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สภาพแวดล้อมของแต่ละคนด้วย จริงไหม?
ที่มา : คลาสเรียน Communication Design5
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)